Search

10 ทัศนคติที่บิดเบือน ที่อาจทำให้คนอื่นไม่อยากคุยกับเรา

10 ทัศนคติที่บิดเบือน ที่อาจทำให้คนอื่นไม่อยากคุยกับเรา […]

10 ทัศนคติที่บิดเบือน ที่อาจทำให้คนอื่นไม่อยากคุยกับเรา (Cognitive distortion) 😖👎

เพื่อน ๆ เคยรู้สึกวิตกกังวลเกินไปกันบ้างไหมเอ่ย ? 😨

หรือว่า เคยเถียงกับคนอื่นเกี่ยวกับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของตัวเรา…😡

หรือบางทีก็รู้สึกว่ารำคาญที่จะต้องคุยกับใครบางคนเสียเพราะทัศนคติของเค้าเสียเหลือเกิน… 😵

หนึ่งในต้นเหตุของสิ่งเหล่านี้ อาจจะมาจากความคิดหรือความเชื่อที่อยู่ในหัวของเราเอง

💡 Cognitive distortion หรือ ทัศนคติ/ความคิดบิดเบือนจากความจริง

บิดเบือนที่ว่ามานี้เนี่ย เริ่มแรกมันจะส่งผลกระทบต่อตัวเอง (วิตกกังวล แพนิก ซึมเศร้า) ในเวลาต่อมาก็จะกระทบไปถึงผู้อื่นต่อไป (เช่น คนอื่นรู้สึกอึดอัดและไม่อยากพูดคุยกับเรา)

ในโพสนี้เราจะโฟกัสไปที่การส่องกระจกมองตัวเองกันเป็นหลักนะคร้าบ (เพราะว่าไปส่องคนอื่นมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร..)

สารภาพว่าพวกเราเองก็มีทัศนคติที่บิดเบือนอยู่เหมือนกันนะ (เอาแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลย พอ reflect แล้วเนี่ย โอโห… มีเกิน 3 ข้อซะอีกนะ 🥲)

บางอย่างที่มันเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัวจริง ๆ เราเข้าใจว่ามันก็อาจจะเป็นความเชื่อพื้นฐานของเราเอง ซึ่งต้องปรับปรุง

งั้นวันนี้พวกเรา MindStory ขอชวนเพื่อน ๆ มา reflect กันเบา ๆ ว่า ตัวพวกเราเองมีแนวความคิดที่บิดเบือนเหล่านี้อยู่หรือเปล่านะ ?

— — — — — — — — — — — —

1. คิดแบบขาวดำ (Polarized thinking) ⚪⬛

มองสิ่งต่าง ๆ ในด้านใดด้านหนึ่งแบบสุดโต่ง ไม่มีคำว่าตรงกลาง

อย่างเช่น

– ถ้าผลงานไม่ออกมาดีที่สุด ก็อย่าไปลองทำเลยจะดีกว่า

– ถ้าคนนี้ไม่ใช่คนดี งั้นเค้าก็ต้องเป็นคนเลวเท่านั้น

.

2. คิดแบบเหมารวม (Overgeneralization) 👌😤

เชื่อว่าเหตุการณ์เดียว จะมีผลลัพธ์แบบเดียวกันทุกสถานการณ์

อย่างเช่น

– ในการแข่งขัน ทีมเราสู้ไปก็ไม่ชนะตั้งแต่ตาแรก สงสัยว่าทีมอ่อนแอแบบนี้ มันไม่น่าจะชนะใครได้แล้วละ..

– เพิ่งกับแฟนคนแรกไป สงสัยว่าคนอย่างชั้นคงจะไม่มีแฟนไปจนตายแน่ๆเลย

.

3. คิดแบบมองข้ามเรื่องดี (Mental filter) 💀

การมองโลกในแง่ลบแบบสุดโต่ง เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าไม่ได้เป็นเรื่องดี หรือการที่เราทำตัวน้อยอกน้อยใจอยู่บ่อยครั้ง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้มีใครมองอะไรที่ไม่ดีกับเรา

อันนี้สารภาพว่าเราก็เคยเป็นนะ มันคิดไปเองเลย แล้วก็ซึมเศร้าไปเองด้วย

อย่างเช่น

– เอาชีวิตตัวเองไปเทียบกับอดีตเพื่อนร่วมงาน ว่าทำไมตั้งแต่ลาออกจากงานไป ชีวิตเค้าถึงได้มีหน้ามีตาขึ้น ในขณะที่เราเองกลับแย่ลง (ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเรานะไม่ได้แย่หรอก แล้วก็ไม่มีใครมานั่งเอาเราไปเทียบด้วยนะ)

.

4. มองโลกในแง่ร้าย (Catastrophizing) 🤕

เชื่อว่าสถานการณ์ที่เราเจอ มันแย่กว่าความเป็นจริงเสมอ ๆ

อย่างเช่น

– วันนี้ปิดงานขายไม่ได้มา 3 วันติดกันแล้ว สงสัยหัวหน้าคงต้องไล่เราออกเร็วๆนี้แน่เลย

– ตุ่มแดงตุ่มนี้ไม่ยุบไปสักที ผ่านไป 2 วันแล้วนะ สงสัยว่าเราน่าจะเป็นมะเร็งผิวหนังแน่ ๆ เลย

.

5. นำอารมณ์มาเป็นเหตุผล (Emotional reasoning) 😡😭

มีความเข้าใจว่าอารมณ์ของเราเป็นข้อมูลที่มีเหตุมีผล สามารถนำไปใช้ตัดสินอะไรก็ได้

อย่างเช่น

– ความวิตกกังวลของฉันบอกเป็นลางว่า เครื่องบินน่าจะตกแน่ ๆ เลย (แล้วก็เกิดอาการแพนิก)

– รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า พูดจาไม่รู้เรื่อง งั้นก็คงเป็นแบบนั้นละ ชั้นเป็นชั้นแบบนี้ ! (แล้วก็เลยทำตัวพูดจาไม่รู้เรื่องไปซะอย่างนั้น)

– ใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไปตัดสินผู้อื่น

.

6. คาดการณ์อนาคตแบบผิดๆ (Fortune telling) 😓

การคาดเดาอนาคตด้วยข้อมูลที่เรามีอยู่เพียงน้อยนิด และเชื่อมโยงความเข้าใจต่อไปแบบผิด ๆ

อย่างเช่น

– การที่ฟังยังไม่ทันจบ แต่ก็ด่วนสรุปไปซะแล้ว

.

7. คิดเข้าข้างตัวเอง (Personalization) 😫

ในที่นี้ เราหมายถึงการคิดเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา มาสมมุติว่าเกิดหรือเกี่ยวข้องกับเรา

ซึ่งความคิดแบบนี้ถ้าออกมาเป็นแนวกล่าวโทษตัวเอง ก็จะกลายเป็นโรควิตกกังวลได้ง่าย ๆ เลย

อย่างเช่น

– ในขณะที่เพื่อนของเรากำลังอารมณ์เสียอยู่ เรากลับเดาไปว่าเพื่อนน่าจะกำลังโกรธเราอยู่ (ซึ่งไม่ใช่นะจ้า)

.

8. ชอบคิดแบบทึกทักไปเอง (Entitlement) 😤✋

คาดหวังผลลัพธ์บางอย่างจากการกระทำของตัวเอง แล้วก็มโนว่าผลลัพธ์นั้น จะต้องออกมาเป็นในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ (ซึ่งในความจริง ไม่ใช่อีกแล้วจ้า)

อย่างเช่น

– ฉันทำงานมาหนักกว่าทุกคนในทีมในไตรมาสนี้ ฉันควรจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน

.

9. การเอาความสุขไปฝากไว้กับสิ่งอื่น (Outsourcing happiness) 😍💔

เป็นการเปิดรับให้ปัจจัยภายนอก เข้ามาควบคุมการตัดสินใจและอารมณ์ของตัวเอง

(อันนี้เราก็เป็นนะ และยังเป็นอยู่ด้วย 😭)

อย่างเช่น

– ฉันจะมีความสุขไม่ได้ หากว่าเพื่อนของฉันไม่มีความสุข

– ฉันจะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ หากว่าฉันกำลังทะเลาะกับแฟน

.

10. คิดไปเองว่ารู้ใจคนอื่น (Mind reading)🥸

อันนี้ตรงตัวเลย เรามโนขึ้นมาเองล้วน ๆ ว่าเรารู้ใจคนอื่น

เราว่ามันจะเกิดผลกระทบทั้ง 2 ฝ่ายเลย คือทั้งตัวเองที่อาจคิดอะไรเกินจริง และกระทบต่อผู้อื่น เพราะการแสดงออกของเรา อาจเปลี่ยนไปตามที่เราคิด

(อันนี้เราก็เป็นอีกละ…😭)

อย่างเช่น

– เราเขียนบทความมายาวเกินไป ผู้อ่านคงจะต้องอ่านไปหาวไปอย่างแน่นอน 🥺

– เพื่อนคนนี้อาจคิดว่าฉันดูไม่ฉลาด เพราะฉันดูซุ่มซ่ามและชอบเดินสะดุดขอบประตู…

.

👋 นอกจาก 10 ทัศนคติที่บิดเบือน ด้านบนแล้ว

ก็ยังมีทัศนคติที่เข้าข่ายบิดเบือนแบบอื่นด้วยนะ เพื่อไม่ให้ยาวเกินไป เราจะยกตัวอย่างสั้น ๆ เพียงแค่ 1 บรรทัด

11. คิดแบบ “อยุติธรรม” – การคิดไปว่าการกระทำของคนอื่น ไม่ยุติธรรมต่อตัวเอง 🤬

12. คิดแบบเอาแต่ “กล่าวโทษผู้อื่น” – คนอื่นผิดได้ แต่ตัวเองต้องไม่ผิด 🤌☝️

13. คิดแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าคนอื่นจะต้องเปลี่ยนแปลงตามเรา 😤

14. คิดน้อยใจโชคชะตาของตัวเอง (อันนี้เราก็เคยเป็นนะ แห่ะ ๆ) 🤧

15. มีความคิดที่กดดันตัวเองจนเกินไป อันนี้เรานึกถึงกรณีของ Richalison (นักบอลสเปอร์) ที่กดดันตัวเองเกินจนยิงประตูไม่ได้ 🥴

.

จะเห็นได้ว่าความคิดในลักษณะแบบนี้ ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเราและคนรอบข้างทั้งนั้นเลย ส่วนใหญ่จะมาจากการที่เราไม่มีสติอยู่กับตัวเองและปัจจุบัน

ชวนอ่านเพิ่มเติม -  สรุป 20 ข้อคิดจากหนังสือ "The Almanack of Naval Ravikant" - ฉบับเพจ MindStory

.

🤓 สุดท้ายนี้สำหรับพวกเราแล้ว บางทัศนคติที่เบี้ยวๆเนี่ย มันก็แอบแสดงออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว

แต่เพราะว่าการถาม feedback หรือการได้เปิดใจคุยกับคนรอบตัว จึงทำให้เรารู้ว่า…อ้าว.. นี่เราเผลอทำตัวแบบนั้นเหรอเนี่ย (ฮือออ😭)

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ทำงานที่บ้าน บางทีการเปิดใจคุยกับใครสักคนมันก็คงเป็นเรื่องยากเนอะ เราเข้าใจเลยล่ะ

แต่ว่าสำหรับเพื่อน ๆ หลายคนที่ทำงานในบริษัท เขาน่าจะมี session ที่ให้พนักงานในทีมมอบ feedback ให้แก่กัน (ของเราก็เคยทำนะ เช่นแบบ วันศุกร์ 15.00-16.00 ให้ทุกคนมายืนตรงข้ามกัน แล้วเป็น session speed feedback แบบ SBI Feedback Model 1 นาที สลับวนกันไป ต้องจริงใจและห้ามโกรธกัน เพราะ feedback คือการพัฒนาตัวเอง) แบบนี้ก็ช่วยให้เรา reflect ตัวเองได้ง่ายขึ้น 🥰

แต่ว่าที่สำคัญคือ เราต้องยอมรับความจริงด้วยนะ (อันนี้อาจจะยากหน่อย แห่ะ ๆ🥲)

คหสต. เราคิดว่าไม่มีใครสามารถหลุดพ้นความคิดแบบนี้ไปได้หรอก เป็นไปบ้างแบบพอดี ๆ

เราว่ากุญแจสำคัญเลยคือ การอยู่กับปัจจุบันและการมีสติควบคุมให้ได้ หรือ ถ้าคิดว่าเราเป็นหนัก ก็ไปทำการบำบัดทางจิตก็ได้ผลอยู่เลยนะ เพราะพวกเค้าจะช่วยให้เราปรับความเชื่อพื้นฐานที่บิดเบือน และพาเราก้าวผ่านไปด้วยกัน (สารภาพว่าเคยไปปรึกษานักจิตด้วยเหมือนกันคร้าบ ไม่น่ากลัวนะ 😍)

เป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ทุกคนนะคร้าบผม 🤗

.

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม

  • หนังสือ 10 วิธีบำบัดความคิดและพฤติกรรม Cognitive Behavior Therapy Made Simple เขียนโดย Seth J Gillihan แปลโดย พลอยแสง เอกญาติ
  • บทความ คุณกำลัง “คิดเบี้ยว” อยู่หรือเปล่า? เขียนโดยคุณ Niran Banleurat ใน Medium
  • บทความ How to recognize and tame your cognitive distortions เขียนโดย Peter Grinspoon, MD มหาวิทยาลย Harvard Medical School
  • บทความ 15 Cognitive Distortions To Blame for Negative Thinking เขียนโดย Karin Gepp, PsyD และ Sandra Silva Casabianca